การแต่งกายอิตาลี
คามีชา
ทำจากผ้าลินิน คุณภาพผ้าแตกต่างกันไปตามฐานะของผู้สวม ลักษณะความโป่งของการตัดเย็บขึ้นอยู่กับน้ำหนักผ้า ถ้าผ้าบางก็จะตัดเย็บให้โป่งพอง บรรดาคามีชาทั้งหลายจะตัดเย็บเต็มตัวยาวถึงพื้น แขนเสื้อโดยทั่วๆ ไปมักจะยาว บางแบบก็ตัดเย็บในลักษณะที่ช่วงแขนเริ่มต้นจากลำคอ แล้วมีเส้นตะเข็บยาวเฉียงจากคอไปจนจรดช่วงแขนเป็นแบบแร็กเลน (Raglan Style) ดังรูป
ในช่วงหลังศตวรรษ ราวคอคามีชาส่วนใหญ่จะไปปรากฎอยู่ที่ราวคอกาวน์ และมีการเพิ่มเติมลายปักเงื่อนบม ลายปักเป็นรวงผึ้ง และแต่งชายผ้าเข้าไป ถึงแม้คามีชาเคยเป็นเสื้อผ้าชั้นใน เท่าที่พบในงานจิตรกรมบางชิ้น ผู้หญิงชาวนาสวมคามีชาทำงานในทุ่งนา และดูเหมือนจะในช่วงเวลาอากาศร้อน และเป็นเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวที่ผู้หญิงสวมเมื่ออยู่ในห้องส่วนตัว
ชุดเสื้อผ้า
การนำผ้าที่หรูหราฟุ่มเฟือยมาทำเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิงชั้นสูง ทำให้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บค่อนข้างจะเรียบตรงไปตรงมา ดูโอ่อ่า อาศัยการปรับจำนวนชั้น ทั้งคามีชา ชุดเสื้อผ้า และชุดชั้นนอก และอาศัยการเลือกใช้ผ้าสีตัดกันในแต่ละชั้น ทำให้กลายเป็นการประดับประดาที่หรูหราไปทันที
เมื่อต้องสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวทับคามีชา ปกติจะตัดผ้าชิ้นหนึ่งออกจากหัวไหล่ม้วนเป็นขอบแล้วทำขึ้นเป็นเหมือนอิทรธนูเข้ารูปเรียบทับอยู่บนไหล่ แล้วเสริมต่อเป็นรอยจีบโป่ง หรือรวบไว้เหนือราวนม กาวน์เต็มรูปเช่นนี้มักจะมีเข็มขัดคาด
หรืออาจเป็นแบบใช้ส่วนหนึ่งเป็นบอดิซยึดติดกับกระโปรงจีบโป่งหรือกระโปรงที่รวบเข้าจนทำให้โป่งออก ชุดเช่นนี้โดยปกติจะใช้เชือกร้อยไว้ด้านหน้า และบางครั้งก็ด้านข้างอีกด้วย
ถึงกลางศตวรรษ ราวคอปกติมักจะมน แต่ตัดเย็บยกขึ้นค่อนข้างสูง เข้าสู่ปลายศตวรรษ ราวคอค่อยลดต่ำลงมา บ้างก็เป็นเหลี่ยมมากกว่ามน หรือไม่ก็เป็นรูปตัววีลึกลงมา แล้วใช้เชือกร้อยตรึงไว้ด้วยกันเพื่ออวดเชอมีสส่วนบน
เมื่อสวมเสื้อผ้ากันสองชั้น ชุดชั้นในโดยปกติจะตัดเย็บให้บอดิซกับกระโปรงติดกัน และทำให้ค่อนข้างรัดรูป และเปิดส่วนบนไว้ให้มองเห็นที่ราวคอและแขนเสื้อ และ/หรือใต้แขนของเสื้อชั้นนอก เสื้อผ้าชั้นนอกมักจะตัดเย็บให้เหมือนฮุคของผู้ชาย ตัวอย่างเช่น ไม่มีแขน มีตะเข็บที่ไหล่ และเปิดใต้แขนไว้เพื่ออวดชุดชั้นใน
ทรงแขนเสื้อของผู้หญิงคล้ายกับแขนเสื้อของผู้ชาย ซึ่งมีทั้งแขนเสื้อกาวน์จรดเหนือข้อศอก แล้วรัดรูปส่วนล่าง แขนเสื้อรัดรูปมีช่องเปิดเพื่ออวดแขนคามีชา และแขนเสื้อห้อย
เสื้อผ้าคลุมชั้นนอก
เป็นแมนเทิลหรือเคป ทั้งที่เป็นแบบเปิดและแบบปิด มักจะทำผ้าซับในให้สีตัดกัน และบางครั้งก็ให้เข้ากับชุดที่สวม เคปนนี้ใช้เพื่อการประดับแต่อย่างเดียว จะผูกติดไว้กับชุดตรงหัวไหล่ แต่ก็ไม่ได้ปิดไหล่หรือช่วงแขนตอนบน แต่ทิ้งยาวเป็นกระบวนทางด้านหลัง เป็นที่นิยม
ผมและเครื่องแต่งศรีษะ
ความแตกต่างอันสำคัญระหว่างเครื่องแต่งศรีษะชาวอิตาลี กับชาวยุโรปตอนเหนือนั้นเห็นได้ชัด ในขณะที่ผู้หญิงชาวยุโรปตอนเหนือคลุมศรีษะ ผู้หญิงชาวอิตาลีแต่งศรีษะอย่างประดิดประดอย คบุมศรีษะด้วย “สัญลักษณ์” เป็นตาข่ายอัญมณีเล็กๆ ไว้ทางด้านหลัง หรือใช้ผ้าคลุมศรีษะโปร่งบางเล็กๆ เด็กผู้หญิงแต่งศรีษะแบบเรียบง่าย ม้วนขอดเป็นปอยห้อย ผู้หญิงสาวก็จะจัดปอยหยิกเหล่านี้ไว้ทางด้านข้างใบหน้า แล้วดึงส่วนที่เหลือไปด้านหลังปั้นเป็นมวยหรือถักเป็นเปีย หรือประดิดประดอยยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการผสมเปียกับผมม้วนเป็นวงและหยิก
ชุดเสื้อผ้า
การนำผ้าที่หรูหราฟุ่มเฟือยมาทำเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิงชั้นสูง ทำให้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บค่อนข้างจะเรียบตรงไปตรงมา ดูโอ่อ่า อาศัยการปรับจำนวนชั้น ทั้งคามีชา ชุดเสื้อผ้า และชุดชั้นนอก และอาศัยการเลือกใช้ผ้าสีตัดกันในแต่ละชั้น ทำให้กลายเป็นการประดับประดาที่หรูหราไปทันที
เมื่อต้องสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวทับคามีชา ปกติจะตัดผ้าชิ้นหนึ่งออกจากหัวไหล่ม้วนเป็นขอบแล้วทำขึ้นเป็นเหมือนอิทรธนูเข้ารูปเรียบทับอยู่บนไหล่ แล้วเสริมต่อเป็นรอยจีบโป่ง หรือรวบไว้เหนือราวนม กาวน์เต็มรูปเช่นนี้มักจะมีเข็มขัดคาด
หรืออาจเป็นแบบใช้ส่วนหนึ่งเป็นบอดิซยึดติดกับกระโปรงจีบโป่งหรือกระโปรงที่รวบเข้าจนทำให้โป่งออก ชุดเช่นนี้โดยปกติจะใช้เชือกร้อยไว้ด้านหน้า และบางครั้งก็ด้านข้างอีกด้วย
ถึงกลางศตวรรษ ราวคอปกติมักจะมน แต่ตัดเย็บยกขึ้นค่อนข้างสูง เข้าสู่ปลายศตวรรษ ราวคอค่อยลดต่ำลงมา บ้างก็เป็นเหลี่ยมมากกว่ามน หรือไม่ก็เป็นรูปตัววีลึกลงมา แล้วใช้เชือกร้อยตรึงไว้ด้วยกันเพื่ออวดเชอมีสส่วนบน
เมื่อสวมเสื้อผ้ากันสองชั้น ชุดชั้นในโดยปกติจะตัดเย็บให้บอดิซกับกระโปรงติดกัน และทำให้ค่อนข้างรัดรูป และเปิดส่วนบนไว้ให้มองเห็นที่ราวคอและแขนเสื้อ และ/หรือใต้แขนของเสื้อชั้นนอก เสื้อผ้าชั้นนอกมักจะตัดเย็บให้เหมือนฮุคของผู้ชาย ตัวอย่างเช่น ไม่มีแขน มีตะเข็บที่ไหล่ และเปิดใต้แขนไว้เพื่ออวดชุดชั้นใน
ทรงแขนเสื้อของผู้หญิงคล้ายกับแขนเสื้อของผู้ชาย ซึ่งมีทั้งแขนเสื้อกาวน์จรดเหนือข้อศอก แล้วรัดรูปส่วนล่าง แขนเสื้อรัดรูปมีช่องเปิดเพื่ออวดแขนคามีชา และแขนเสื้อห้อย
เสื้อผ้าคลุมชั้นนอก
เป็นแมนเทิลหรือเคป ทั้งที่เป็นแบบเปิดและแบบปิด มักจะทำผ้าซับในให้สีตัดกัน และบางครั้งก็ให้เข้ากับชุดที่สวม เคปนนี้ใช้เพื่อการประดับแต่อย่างเดียว จะผูกติดไว้กับชุดตรงหัวไหล่ แต่ก็ไม่ได้ปิดไหล่หรือช่วงแขนตอนบน แต่ทิ้งยาวเป็นกระบวนทางด้านหลัง เป็นที่นิยม
ผมและเครื่องแต่งศรีษะ
ความแตกต่างอันสำคัญระหว่างเครื่องแต่งศรีษะชาวอิตาลี กับชาวยุโรปตอนเหนือนั้นเห็นได้ชัด ในขณะที่ผู้หญิงชาวยุโรปตอนเหนือคลุมศรีษะ ผู้หญิงชาวอิตาลีแต่งศรีษะอย่างประดิดประดอย คบุมศรีษะด้วย “สัญลักษณ์” เป็นตาข่ายอัญมณีเล็กๆ ไว้ทางด้านหลัง หรือใช้ผ้าคลุมศรีษะโปร่งบางเล็กๆ เด็กผู้หญิงแต่งศรีษะแบบเรียบง่าย ม้วนขอดเป็นปอยห้อย ผู้หญิงสาวก็จะจัดปอยหยิกเหล่านี้ไว้ทางด้านข้างใบหน้า แล้วดึงส่วนที่เหลือไปด้านหลังปั้นเป็นมวยหรือถักเป็นเปีย หรือประดิดประดอยยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการผสมเปียกับผมม้วนเป็นวงและหยิก
อัญมณี
ช่างอัญมณีที่มีฝีมือ สร้างอัญมณีขึ้นจากหินที่มีราคา มุก ทอง และเงิน จนทำให้กลายเป็นงานชิ้นเอก อัญมณีเหล่านี้เป็นสร้อยคอ ต่างหู เข็มกลัด และเครื่องประดับผมที่ชวนมอง เครื่องประดับผมซึ่งกลายเป็นที่นิยม คือโซ่โลหะหรือโซ่มุกที่สวมพาดหน้าผาก และมีอัญมณีประดับอยู่กลางหน้าผาก โซ่นี้มีชื่อเรียกว่า แฟร์รอนีแอร์ (Ferroniere/เพชรลูกประดับหน้าผากสตรี)
ช่างอัญมณีที่มีฝีมือ สร้างอัญมณีขึ้นจากหินที่มีราคา มุก ทอง และเงิน จนทำให้กลายเป็นงานชิ้นเอก อัญมณีเหล่านี้เป็นสร้อยคอ ต่างหู เข็มกลัด และเครื่องประดับผมที่ชวนมอง เครื่องประดับผมซึ่งกลายเป็นที่นิยม คือโซ่โลหะหรือโซ่มุกที่สวมพาดหน้าผาก และมีอัญมณีประดับอยู่กลางหน้าผาก โซ่นี้มีชื่อเรียกว่า แฟร์รอนีแอร์ (Ferroniere/เพชรลูกประดับหน้าผากสตรี)
อิตาเลียนสมัยกลาง (Gothic)
เป็นช่วงระยะเวลาระหว่างศตวรรษที่ 10, 11 และ 15 เป็นช่วงที่อาณาจักรโรมันเสื่อม อำนาจลงและหมดยุคของ Constantinople ใน ค.ศ. 1453 การแต่งกายของชายหญิง ยังคง คล้ายกับสมัย Byzantine ซึ่งสีและแบบของเสื้อผ้าจะได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของพระ
ตอนแรกผู้ชายจะสวมชุดทูนิคแขนยาว ตัวยาวถึงเข่าเรียกว่า Bliaud ส่วนผู้หญิงสวมชุด แบบเดียวกันยาวถึงข้อเท้า จะใส่เสื้อคลุมที่เรียกว่า Pallium มีเข็มกลัดกลัดไว้ ผู้ชายจะใส่ถุงน่อง ยาวรัดรูปเรียกว่า Stockings ซึ่งได้แบบมาจากตอนเหนือของบาบาเรียน ถุงน่องยาวจะยึดกับ เข็มขัดที่คาดเอว ซึ่งสายนี้จะคาดไขว้มาจากใต้เข่า ต่อมาผู้ชายก็เปลี่ยนมาใส่ Bliaud ยาวถึงหน้า แข้ง
ศตวรรษที่ 11 มีชุดชั้น ในเรียกว่า Chainse ที่ทำจากผ้าขนสัตว์ ลินิน ป่าน หรือไหม ซึ่งจะใช้เป็นกระดุมหรือผูกเชือกติดที่คอ ใช้ใส่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่อมา Chainse ได้กลายมา เป็นชุดชั้น ในที่เรียกว่า Lingerie ซึ่งทำจากผ้าแพรบางสามารถซักได้ และมีประดับตกแต่งด้วยลูกไม้ บริเวณรอบคอและข้อมือ แล้วสวม Bliaud หรือชุดทูนิคยาวถึงพื้น ทับ ซึ่งใส่ได้ทั้งปล่อยตรง ๆ หรือ ใช้เครื่องรัดเอวที่ตกแต่งด้วยเพชรอีกทีก็ได้ ชุดนี้จะมีแขนยาว ผ้าจะมีการแตกต่างหรูหรามาก ถ้าหนาวจะมีการตกแต่งชายเสื้อ หรือแนวเส้นตะเข็บต่าง ๆ ด้วยขนสัตว์ที่เรียกว่า Ermine
ส่วนในศตวรรษที่ 13 ผู้ชายจะสวมชุดทูนิคที่สั้น มากเหนือเข่าขึ้น มา บางทีก็ใส่ตรงหรือไม่ ก็คาดเข็มขัด โดยจะมีชายเหลือต่ำจากเอวประมาณ 2-3 นิ้ว ใส่ถุงน่องยาวถึงสะโพกสีแดงและ ประดับด้วยทองและเพชร สวมรองเท้าหนังนิ่ม ๆ
ผ้า ใช้ผ้าลินินจะย้อมด้วยสีแดงเลือดหมู เขียว นำ้เงิน และม่วงแดง ผ้าทอยกดอกและ ผ้ากำมะหยี่ปัก ซึ่งในศตวรรษที่ 12, 13 ชาวซิซิลีจะทอผ้าไหมยกดอกได้สวยที่สุดในโลก แต่ผ้า ขนสัตว์ก็ยังใช้อยู่
ชุดไว้ทุกข์ใส่ทูนิคสีดำและเสื้อคลุมเป็นแถบสีขาว ผู้หญิงจะสวมชุดสีขาวใส่หมวกแก๊บ และมีผ้าคลุมไหล่
เพศชายที่สูงอายุจะสวมที่คลุมศีรษะที่เรียกว่า Liripipe มีลักษณะเป็นทั้งที่คลุมศีรษะ (Hood) และคลุมไหล่ด้วย ด้านหน้าจะมีส่วนยื่นออกมาคล้ายปีกหมวก แล้วสวมใส่จะปิดคอ หรือแขน หรืออาจจะปล่อยลงไปทางด้านหลังก็ได้ ต่อมาวิวัฒนาการเป็นผ้าจีบและม้วนบนหมวก ลักษณะเหมือนหมวกแขก เรียกว่า Roundlet
ผู้ชายจะใส่หมวกเป็นรูปครึ่งวงกลม ขอบหมวกจะม้วนขึ้น และมีขนนกยาวจะสวมทับ บนผ้าคลุมศีรษะอีกที
ในศตวรรษที่ 14 ผู้หญิงมีการใช้เครื่องรัดทรง สวมเสื้อกระโปรงเป็นชุดติดกัน ตัวกระโปรง มีจีบรูดพอง มีการตกแต่งด้วยลูกไม้ด้านหน้าตามแนวตะเข็บเปิดด้านหน้า เป็นรูปแบบของการ เน้นรูปร่างทรวดทรงให้เห็นลักษณะเส้นกรอบนอก (Silhouette) ของรูปร่าง
ในยุคกลางนี้ การคลุมศีรษะของสตรีเป็นสิ่งที่สำคัญจะคลุมด้วยผ้าฝ้ายหรือไม่ก็ผ้าลินิน จะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมหรือวงกลม จะคลุมไหล่แล้วปล่อยเป็นหางตํ่าลงมา เหมือนกับการห่มแบบ Palla เรียกว่า Headrail หรือ Wimple แล้วใส่มงกุฎทับอีกที ซึ่งเป็นเครื่องแสดงยศฐาบรรดาศักดิ จนกระทั่วถึงศตวรรษที่ 16 หมวกมีลักษณะการใช้ผ้าลินินสีขาวพันใต้คางและรอบศีรษะ ที่เรียกว่า Chinband ผมทรง Madonal Style คือเป็นทรงแสกกลางแล้วปล่อยยาวลงไปก็เป็นที่นิยมกัน
หมวกที่ใช้ก็มีหลายรูปแบบ เป็นแบบ Hood หรือ Chaperon แบบ Chinband แบบ Wimple เป็นการใช้ผ้าคลุมศีรษะถึงคอ ใช้ Net คลุมผม หมวกอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Hennin เป็นหมวกลักษณะเหมือนภูเขาสูง 2 ลูก และมีผ้าบาง ๆ คลุมเวลาสวมใส่
รองเท้าจะใช้ผ้ากำมะหยี่ปักด้วยเพชรนิลจินดาสีต่าง ๆ หุ้มถึงข้อเท้า ต่อมานิยมใช้หนังอ่อน นุ่มแทน รองด้วยไม้หนาเหมือนเกี๊ยะเรียกว่า Chopine สวมถุงมือทำด้วยหนังปักด้วยเพชรนิล จินดา
ในสมัยกลาง เสื้อผ้าจะมีราคาแพง หรูหรามาก เครื่องประดับต่าง ๆ จะเป็นเพชรนิลจินดา เป็นทองรูปพรรณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น